จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

28/3/54

สิววัยผู้ใหญ่ "เราแก้ได้!"

สิววัยผู้ใหญ่ "เราแก้ได้!"

สิววัยผู้ใหญ่นั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้ใช่แต่เพียงสิววัยรุ่นเท่านั้น ในผู้หญิงช่วงอายุ 20-30 ปี ถือได้ว่าเป็นวัยที่เริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กันแล้ว แล้ว สิววัยผู้ใหญ่ อย่างคุณจะมีการดูแลและปกป้องไม่ให้เกิด สิววัยผู้ใหญ่ ได้อย่างไรกันบ้างค่ะ แต่วันนี้เรามีวิธีแก้ปัญหาสิววัยผู้ใหญ่มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายให้ได้หน้าใสกันต่อไปอีก ใครไม่อยากเป็นสิววัยผู้ใหญ่ก็ต้องลองมาใช้วิธีที่เรากำลังจะแนะนำเพื่อไม่คุณนั้นต้องมาสู้รบปรบมือกับสิวที่ไม่พึงประสงค์กันอีก เพื่อหน้าใสไร้ริ้วรอยและจุดด่างดำอีกด้วยค่ะ นั้นเรามาดูวิธีการแก้ปัญหาสิววัยผู้ใหญ่กันเลยค่ะ


วิธีแก้ปัญหา สิววัยผู้ใหญ่


1. เข้าใจถึงสาเหตุ สิววัยผู้ใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คุณมีความเครียด ซึ่งจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโซลเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดและทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ประกอบกับวัยที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ผิวมีความหนามากขึ้น ความสามารถในการกำจัดน้ำมันส่วนเกินออกไปจึงลดลงส่งผลให้รูขุมขนเกิดการอักเสบและมีสิวขึ้นมา ฉะนั้นถ้าคุณมีสิวขึ้นในวัยที่ไม่ควรจะเป็นก็ควรไปขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผิวหนัง

2. ต่อสู้กับน้ำมันส่วนเกิน สิวมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มีสภาพผิวมันคุณจึงควรหาวิธีหยุดยั้ง การผลิตน้ำมันส่วนเกินเอาไว้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล-เอ ซึ่งช่วยลดความมันได้อยู่หมัดแถมยังช่วยป้องกันริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย


สิววัยผู้ใหญ่


3. ใช้สูตรอ่อนโยน อย่าทึกทักเอาเองว่าคุณจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์แรงในการกำจัดสิว เพราะผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์แรงจะไปกระตุ้นต่อมน้ำมันให้ทำงานหนักขึ้นเลือกใช้สูตรที่อ่อนโยนต่อผิวจะดีกว่า

4. คัดทิ้ง โยนเครื่องสำอางใด ๆ ก็ตามที่มีอายุเกิน 6 เดือนทิ้งไป เพราะเครื่องสำอางพวกนั้นอาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ นอกจากนี้ก็อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่นและควรจะล้างมือก่อนทาเครื่องสำอางทุกครั้ง พู่กันที่ใช้ในการแต่งหน้าคือตัวดักสิ่งสกปรกได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นก็ควรทำความสะอาดเป็นประจำ

ความงามจากผลไม้

ผลไม้


          ผลไม้ ผลผลิตอันน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ผู้หญิงหลายคนต่างหลงใหล และนำมารับประทานเพื่อเสริมสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า นอกจากคุณประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับแล้ว ผลไม้ยังอุดมด้วยแร่ธาตุ  วิตามินและสารอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น มีเสน่ห์สดใสเป็นที่น่าจับตามอง ที่สำคัญยังช่วยชะลอเวลาของผิวสวยๆ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา 

          ในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่อย่างนี้  การใช้ในสิ่งใกล้ตัวแล้วไม่ต้องหยุดสวย น่าจะเป็น 2 วัตถุประสงค์ที่สาวๆ น่าจะเรียนรู้ เรามาดูกันถึงความมหัศจรรย์แห่งความงามจากผลไม้ค่ะ

           ทับทิม 
          ผลไม้จากสวรรค์เป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่  อุดมด้วยวิตามินเอ ซี และอี แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสสระ  ที่ช่วยบำรุงผิวให้สวยสดใส  เปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์ แถมยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการต้านการเสื่อมสภาพของผิวอีกด้วย

           มะขามป้อม  

          ถือเป็นผลไม้ที่มีโอสถในตัว เนื่องจากมีวิตามินซีสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ  อีกทั้งคุณค่าแห่งการบำรุงเข้มข้น ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสแม้อยู่ในรูปของสารสกัด

           ถั่วเหลือง  

          ธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารผิวและโปรตีน อีกทั้งยังมีไฟโตรเอสโตเจน ที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง สุขภาพดี

           มะพร้าว  

          ผลไม้มากคุณค่าแห่งการบำรุงที่มีมาช้านาน อุดมด้วยวิตามินอีโมเลกุลเล็ก จึงซึมซาบดูแลถึงเซลล์ชั้นใน   ลดการสูญเสียโปรตีน   ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะให้แข็งแรง  ปรับสภาพและเสริมสร้างการเจริญของเส้นผม ให้ผมเงางาม สุขภาพดีมีน้ำหนัก

           มะเฟือง 

          สมัยโบราณนิยมนำน้ำมะเฟืองสดมาชำระล้างทำความสะอาดเส้นผม เนื่องจากในผลมะเฟืองมีแร่ธาตุที่เหมาะกับเส้นผม อีกทั้งยังมากด้วยวิตามิน ช่วยรักษาสมดุลตามธรรมชาติให้กับเส้นผมและหนังศีรษะ ให้ผมนุ่ม ลื่น สะอาด ปราศจากรังแค

มีอะไรในน้ำแร่

  อาหารการกินของเราก็ได้มีการเปลี่ยนไป กินของที่ดูแปลกแตกต่าง อาหารที่จะกล่าวถึงนี้คือ น้ำแร่ 
อันว่าน้ำแร่นั้นโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าหมายถึงที่ชาวเหมืองแร่นิยมดื่มกัน ชาวเมืองนั้นนิยมกินน้ำมังสวิรัติมากกว่า นัยว่าเพื่อใช้เป็นยาฆ่าเชื้อในกระเพาะอาหาร ในคำนิยามของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้กำหนดคำนิยามของน้ำแร่ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหารว่า หมายความถึงน้ำแร่ตามธรรมชาติ ที่ได้จากแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และมีแร่ธาตุผสมอยู่เป็นคุณสมบัติสำหรับแหล่งน้ำนั้นๆ ฟังดูยังงงกันอยู่ แต่ไม่เป็นไรค่ะอ่านไปเดี๋ยวก็ตาสว่างเอง

ถ้าคุณเคยสังเกตเวลาดูว่าชาวต่างประเทศผ่านดาวเทียมจะพบว่า ในการประชุมระหว่างผู้นำคนสำคัญของโลกนั้นบนโต๊ะการประชุมมักมีขวดสีเขียว ซึ่งไม่ใช่สไปรท์วางอยู่คู่กับแก้วน้ำน้ำในขวดนั้นมักจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งไม่ต่างกับเวลาเข้ารับหังการบรรยายตามโรงแรมในกรุงเทพฯ มักจะมีน้ำแร่ของการประปานครหลวงมาเสิร์ฟ ที่เรียกว่าน้ำแร่การประปาก็เพราะปัจจุบันมีน้ำประปาของ กทม. นั้นมีคุณภาพเข้าขั้นของน้ำแร่ธรรมชาติแล้ว เพราะสังเกตได้ว่าเมื่อรินใส่แก้วทิ้งไว้สักหลายๆ วันให้น้ำระเหยแห้งไป คุณจะพบคราบที่แก้วน้ำซึ่งไม่ใช่อื่นใดนั้นคือแร่ธาตุที่มีในธรรมชาติของน้ำในบ้านเรา (บวกกับสารเคมีที่โรงงานต่างๆ พร้อมใจกันเติมลงในน้ำดื่มที่ใช้น้ำประปา)

คนต่างชาติเช่นชาวยุโรปนั้นเชื้อว่าน้ำแร่นั้นดื่มแล้วดี ทำให้แข็งแรง แถมมีรสชาติดีด้วย น้ำแร่ที่เขานิยมดื่มมักจะมาจากแหล่งน้ำแร่ที่อยู่บนเชิงเขาเชิงดอยซึ่งห่างไกลจากเมืองที่มีมลพิษ

ความจริงในบ้านเราก็มีแหล่งน้ำแร่อยู่หลายแห่ง ที่ขึ้นชื่อลือชาก็คงเป็นที่ จ.ระนอง ซึ่งมีการต่อน้ำแร่ซึ่งเกิดจากน้ำพุร้อนเข้าไปให้อาบกันที่โรงแรมเลย น้ำแร่ประเภทนี้ต่างจากประเภทอื่นที่บรรจุขวดดื่ม เพราะมันมีกำมะถันสูง เหมาะกับการอาบเพื่อรักษาโรคผิวหนังมากกว่า

ในทางการปฏิบัติเพื่อนำเข้าหรือผลิตน้ำแร่ในทางการค้านั้น อย.ได้กำหนดประกาศขึ้นมาควบคุมเฉพาะ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก ประกาศฉบับนี้อาศัยหลักการและเนื้อหาจากที่มีการประกาศนานาชาติเลยทีเดียว เพื่อแสดงว่าไทยเราก็ศิวิไลซ์เหมือนกัน นอกจากแร่ธาตุแล้วก็ยังมีการกำหนดปริมาณสารปนเปื้อนต่างๆ ซึ่งเกิดจากปุ๋ย การชะล้างทำความสะอาดโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนสารกัมมันตภาพรังสี อีกทั้งต้องไม่มีเชื้อโรคในระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายอีกด้วย
ในการผลิตน้ำแร่ตามหลักสากลนั้นก็ได้พยายามให้เป็นธรรมชาติที่สุด กล่าวคือตักมาจากบ่ออย่างไรก็กรอกใส่ขวดอย่างนั้น อาจเติมก็าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงไปใปให้เกิดความซ่าส์ สำหรับคนชอบซ่าส์หรือเติมก๊าซโอโซนลงไปเพื่อฆ่าเชื้อโรค นอกจากนั้นห้ามทำแม้แต่กระทั่งการกรอง

ประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคน้ำแร่ต้องคำนึงไว้ก็คือ เรื่องการแสดงฉลาก ซึ่งตามประกาศที่กระทรวงสาธารณสุขออกไว้แต่เดิม และจากการแก้ไขใหม่นั้นจะช่วยคุ้มครองสุขภาพผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น กรณีคำเตือนที่ไม่แนะนำให้เด็กและหญิงมีครรภ์บริโภค เนื่องจากแนวความคิดว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปเสี่ยงกับการรับแร่ธาตุซึ่งบางอย่างอาจไม่ปลอดภัยได้

นอกจากนี้ยังมีการบังคับให้ผู้จำหน่ายจัดประเภทน้ำแร่ของตนว่าอยู่ในประเภทต่อไปนี้หรือไม่ เช่น ต้องแสดงฉลาว่ามีฤทธิ์ถ่ายท้อง ถ้ามีเกลือซัลเฟตเกิน 600 มิลิกรัม/ลิตร ยกเว้นเกลือแคลเซียมซัลเฟต มีเกลือสูงถ้ามีโซเดียมคลอไรต์มากกว่า 1,000 มืลลืกรัม/ลิตร ทีธาตุเหล็กสูงถ้ามีแร่เหล็กมากกว่า 5 มิลลิกรัม/ลัตร ฯลฯ

ของหวาน ความอร่อยที่ต้องระวัง

เด็กกับของหวานนี่เป็นของที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่าการได้กินของหวานทำให้แจ่มใสมีความสุข 
และเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไรที่มากเกินไปก็มักมีปัญหาทั้งนั้นครับ แล้วเด็กจะมีปัญหาอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็กและทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือเมื่อกินของที่มีรสหวานก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้นและจะเกิดการติดใจเลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็กนี่เร็วมากครับพอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน ทีนี้แหละครับ ปัญหาก็ตามมาเป็นพรวนเลย

เมื่อเด็กกินของหวานเข้า โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับกินไม่ลง ในทางตรงกันข้ามในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ เนื่องจากเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำให้ระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่างครับ คือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ หน้าที่อีกอย่างก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก ในขณะที่เด็กอ้วนนั้นระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอาไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย ทีนี้ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอมก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหาไป นอกจากนี้น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมากเลยครับ ลองคิดดูว่าถ้าเด็กเล็กโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ จะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มากจนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของหวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยากเนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าอีกไม่นาน นมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว แหม น่าดีใจแทนเด็ก ๆ

ความหวานนี่เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ เอ บาคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่าน้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้นะครับ พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สำหรับรายละเอียดของโรคเหล่านี้ผมก็เล่าแจ้งไปบ้างใน Health Today ฉบับก่อน ๆ แล้วนะครับ